วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นิสัย 10 อย่างที่ทำให้สมองพัง

นิสัย 10 อย่างที่ทำให้สมองพัง

1. ไม่ทานอาหารเช้า

หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหาร เช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป

การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)

3. การสูบบุหรี่

เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป

การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง

5. มลภาวะ

สมอง เป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน

การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง

การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย

การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด

การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด

ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

ความหมายของ O.K


คนส่วนใหญ่
น้อย คนนักที่ไม่รู้จักคำว่า O.K. เรามักจะได้ยินคนพูดกันติดปาก
ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ

ไม่ว่าวัยใดก็ตาม แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า.. คำคำนี้มีที่มาอย่างไร ?
         
คำว่า O.K. มาจากคำเต็มว่า Oll Korrect
ซึ่ง ที่ถูกต้องคือ All Correct ( แปลว่า ถูกต้อง ) มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจาก
พ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่การศึกษาน้อย
ทุกครั้งที่เขาสั่งงานลงในใบสั่ง ถ้างานชิ้นใดถูกต้อง ตกลง และอนุมัติ เขาจะ
เขียนคำว่า Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอๆ ต่อมากิจการของพ่อค้าคนนี้
มีความเจริญก้าวหน้ามาก งานที่ติดต่อมาก็มีมากขึ้น ใบสั่งงานก็มีมากมายล้นโต๊ะ
การที่เขาจะต้องเขียนคำ Oll Korrect ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลามาก
เขาจึงย่อเหลือเพียงสั้นๆ คำ O.K. ซึ่งมีผล และความหมายเหมือนกัน
คำว่า "อนุมัติ" นั่นเอง และก็เลยมีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน
มากันจนปัจจุบันทั่วโลกทีเดียว.
ามหมายของ  O.K


คนส่วนใหญ่
น้อย คนนักที่ไม่รู้จักคำว่า O.K. เรามักจะได้ยินคนพูดกันติดปาก
ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ

ไม่ว่าวัยใดก็ตาม แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า.. คำคำนี้มีที่มาอย่างไร ?
         
คำว่า O.K. มาจากคำเต็มว่า Oll Korrect
ซึ่ง ที่ถูกต้องคือ All Correct ( แปลว่า ถูกต้อง ) มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจาก
พ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่การศึกษาน้อย
ทุกครั้งที่เขาสั่งงานลงในใบสั่ง ถ้างานชิ้นใดถูกต้อง ตกลง และอนุมัติ เขาจะ
เขียนคำว่า Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอๆ ต่อมากิจการของพ่อค้าคนนี้
มีความเจริญก้าวหน้ามาก งานที่ติดต่อมาก็มีมากขึ้น ใบสั่งงานก็มีมากมายล้นโต๊ะ
การที่เขาจะต้องเขียนคำ Oll Korrect ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลามาก
เขาจึงย่อเหลือเพียงสั้นๆ คำ O.K. ซึ่งมีผล และความหมายเหมือนกัน
คำว่า "อนุมัติ" นั่นเอง และก็เลยมีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน
มากันจนปัจจุบันทั่วโลกทีเดียว.

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สมอง

อัจฉริยะภาพของสมอง

สมองซ้ายขวา



1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว

ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ


2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา

สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่
ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thet a ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery

สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้
ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับ
เป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ


6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่

อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่
ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ
เมื ่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์



7. ให้อภัยตัวเองทุกวันขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง

การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง


8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี

ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก

พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์


9. ฝึกหายใจลึกๆสมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ

จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น

ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่

สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์


บทสัมภาษณ์จาก : วนิษา เรซ

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ลดลง เท่ากับ เพิ่มขึ้น

ลดลง = เพิ่มขึ้น

หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณจะได้หลายสิ่งกลับมามากขึ้น
- ลดความโกรธให้น้อยลง คุณได้สติกลับมามากขึ้น++

- ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง คุณได้เงินเก็บมากขึ้น++

- ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง คุณได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น++

- ลดการพูดให้น้อยลง คุณทำหลายอย่างได้มากขึ้น++

- คิดถึงคนที่คุณรักให้น้อยลง คุณเข้าใจคนที่รักคุณมากขึ้น++

- รักตัวคุณเองให้น้อยลง คนอื่นรักคุณมากขึ้น++

- พูดให้ร้ายคนอื่นให้น้อยลง มีคนพูดถึงคุณในแง่ดีมากขึ้น++

- แสดงความฉลาดให้น้อยลง คุณได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น++

- ออกนอกบ้านให้น้อยลง คุณได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น++

- นอนให้น้อยลง คุณทำหลายอย่างได้มากขึ้น++

- คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง คุณยิ้มได้มากขึ้น++

- ลดความอายให้น้อยลง คุณได้ความกล้ามากขึ้น++ (เลือกทำในทางที่ดีนะคะ)

- ดูละครให้น้อยลง คุณอ่านหนังสือได้มากขึ้น++

- เชื่อให้น้อยลง คุณมองเห็นอะไรได้มากขึ้น++

- ลดทิฐิให้น้อยลง คุณรู้จักอภัยมากขึ้น++

- กระโดดให้น้อยลง คุณเดินได้มั่นคงมากขึ้น++

- ก้มหน้าให้น้อยลง คุณมองเห็นได้ไกลขึ้น++

- เห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคนรอดชีวิตมากขึ้น++

- ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง คุณได้รับการเอ็นดูมากขึ้น++

- เป่าลมออกให้น้อยลง คุณสูดลมเข้าได้มากขึ้น++

- คุณคิดคำถามให้น้อยลง คุณเห็นคำตอบมากขึ้น++


.....แล้วคุณลดอะไรไปบ้างแล้วหรือยัง.....

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รู้หรือยัง

ความรู้ที่ท่านอาจยังไม่รู้

ท่าน ว.วชิรเมธี

1. รู้รอบตัวมากมาย แต่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ก็เสื่อม

2. รู้เว้นงู เว้นเสือ เว้นมีด เว้นปืน แต่ไม่รู้เว้นอบายมุข ก็เสื่อม

3. รู้ภาษาต่างประเทศแต่ไม่รู้คุณค่าภาษาไทย ก็เสื่อม

4. รู้ตอบคำถามแต่ไม่รู้ตอบคุณแผ่นดิน ก็เสื่อม

5. รู้ที่กินที่เที่ยว แต่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ก็เสื่อม

6. รู้วัน เดือน ปีเกิด แต่ไม่รู้กาลเทศะ ก็เสื่อม

7. รู้พยากรณ์อากาศ แต่ไม่รู้ว่าชีวิตมีขึ้นมีลง ก็เสื่อม

8. รู้จักรวาลวิทยานภากาศ แต่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็เสื่อม

9. รู้จักคนมากมายหลายวงการ แต่ไม่รู้จักตนเอง ก็เสื่อม

10. รู้จักบริหารคน บริหารงาน แต่ไม่รู้จักวิธีบริหารใจ ก็เสื่อม

11. รู้จักวิธีหาเงินมากมาย แต่ไม่รู้วิธีบริหารเงิน ก็เสื่อม

12. รู้จักสร้างตึกสูงนับร้อยชั้น แต่ไม่รู้วิธีฝึกใจให้สูง ก็เสื่อม

13. รู้จักโกรธ แต่ไม่รู้จักให้อภัย ก็เสื่อม

14. รู้จักกติกามารยาท แต่ไม่รู้จักกฏแห่งกรรม ก็เสื่อม

15. รู้จักสวมนาฬิกาแพงๆ แต่ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา ก็เสื่อม

16. รู้จักการเข้าสังคม แต่ไม่รู้จักการเข้าหาสังฆะ ก็เสื่อม

17. รู้เรียนเอาปริญญาสูงๆ แต่ไม่รู้จักยกพฤติกรรมให้สูง ก็เสื่อม

18. รู้ที่จะมีลูก แต่ไม่รู้จักเลี้ยงลูก ก็เสื่อม

19. รู้ที่จะรัก แต่ไม่รู้จักรับผิดชอบ ก็เสื่อม

20. รู้ที่จะดู แต่ไม่รู้ที่จักเห็น ก็เสื่อม

21. รู้ที่จะนับถือ แต่ไม่รู้ที่จะนับถืออย่างไร ก็เสื่อม

22. รู้ที่จะพูด แต่ไม่รู้จักศิลปะการพูด ก็เสื่อม

23. รู้ที่จะสวมหัวโขน แต่ไม่รู้ที่จะถอด ก็เสื่อม

24. รู้ว่าวันหนึ่งจะต้องตาย แต่ไม่รู้วิธีเตรียมตัวตาย ก็เสื่อม

25. รู้คุณของเงินทอง แต่ไม่รู้คุณพ่อคุณแม่ ก็เสื่อม

คุณค่าของคน

คุณค่าของคน

หัดคิดแต่ด้านบวก...แล้วจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้
หัดฝัน...แล้วจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่
หัดพูดแต่ด้านบวก...แล้วะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา
หัดยิ้ม...แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก
หัดฟาดฟันกับอุปสรรค...แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง
ลองทน...แล้วจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใคร
ลองออกกำลังกายทุกวัน...แล้วจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง
ลองคิดเอาชนะ...แล้วจะรู้ว่าเราสามารถเอาชนะตัวเองได้ไม่ยาก
ลองคิดให้ใหญ่...แล้วจะรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างน่าแปลกใจ


จะว่าไปแล้วคุณค่าของคนเมื่อเปรียบเทียบกับคุณค่าของเงิน
จะต่างกันตรงที่คุณค่าของเงินมีคนเป็นผู้กำหนด
ซึ่งต่างก็มีคุณค่าแตกต่างกันไปตามตัวเลข ขนาดสีสันของธนบัตร
แต่เราไม่สามารถที่จะวัดและแยกแยะคุณค่าของคนในแต่ละคน
ให้เหมือนที่คนเป็นผู้กำหนดคุณค่าของแบงก์ได้
เพราะถ้าจะให้ต่างคนต่างประเมินคุณค่าของตัวเอง
ความลำเอียงในการเข้าข้างตัวเองย่อมบังเกิดขึ้น ความไม่แน่นอนก็จะตามมา

เพียงแต่ว่า ถ้าคุณเป็นคนที่มีคุณค่ามากพอในตัวเองแล้ว
ก็ยังคงมีคนที่มีความจริงใจและยังคงต้องการที่จะคบหาสมาคมกับคุณ

ไม่ว่าในบางครั้งที่คุณอาจจะต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าคุณค่า
ใน ตัวเองลดลง เหมือนถูกทิ้ง ถูกทำให้สกปรกและถูกเหยียบย่ำ ก็ตามที
แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้นหรืออะไรที่จะเกิดขึ้น คุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ

เพราะยังคงเป็นคนพิเศษของคนที่จริงใจกับคุณเสมอไป โดยมีข้อคิดสุดท้ายที่เป็นตัวย้ำจำคือ
อย่านำความผิดหวังของเมื่อวาน มาบดบังความฝัน ในวันพรุ่งนี้

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำคมนักบริหาร

คำคม สำหรับผู้บริหาร

เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

* ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว

อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม

* อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย

ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

* เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

* ผู้ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3

* ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ

* คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว

ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี

* ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

* เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ

ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น

* เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

* เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียว กับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

* ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่

อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

* เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร

เมื่อ สุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี

* คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

* ตา สามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

* อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย

ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี

* ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้อง...มหาญ

ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า

* เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้

คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม

* ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน

ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน

* ความรู้ คือ อำนาจ

นั่งบนภู ดูเสือกัดกัน

* เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจงอย่าประมาท



* ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

*

* ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ข้อคิดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ


ข้อคิดดี ๆ ที่จะนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ

คนเราทุกคนก็หวังที่จะประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น 
แต่เส้นทางที่จะประสบความสำเร็จนั้นก็แตกต่างกันไปตามแนวทางและแนวความคิด 
ของแต่ละบุคคล และเชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จทุก ๆ คน
จะต้องมีข้อคิดอะไรบางอย่างที่เป็นตัวกระตุ้นเตือนใจอย่างแน่นอน

  • ความมหัศจรรย์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้...
  • เริ่มต้นมาจากฝันกลางวันของคนบางคนนี้แหละ...


  • หนังสือดีเพียงเล่มเดียว....
  • สามารถเปลียนชีวิตคนได้....


  • ความคิดดีๆ...เพียงความคิดเดียว...
  • สามารถสร้างแรงบันดาลใจ
  • ให้เด็กวัด..กำพร้า...อดอยากยากจนขนาดต้องแย่งหมากิน...
  • ทะยานสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้....


  • เรา...ไม่สามารถรู้ได้ว่า...เราจะบินได้สูงแค่ไหน...
  • จนกว่าเราจะ...กางปีก...แล้วบิน...


  • ตราบใดที่คุณยังไม่ลงมือทำ...
  • อย่าเชื่อว่าคุณทำไม่ได้...


  • จากประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทุกคน...
  • มีหัวใจของความสำเร็จเหมือนกัน 2 ประการคือ....
       เขา...ชนะใจตนเอง....
       เขา...ให้ความสำคัญเรื่องวินัย...เป็นอันดับหนึ่ง....

ชัยชนะ..เป็นของคนที่....อึดที่สุด...

  • ความสำเร็จ...เกิดจาก...
  • อัจฉริยะ1 ส่วน
  • ที่เหลือ 9 ส่วน...เกิดจาก....
  • หยาดเหงื่อ...แรงงาน...และน้ำตาล้วนๆ...


  • ความยากลำบาก...เป็นมหาลัยชั้นสูง...
  • ในการฝึก...ยอดคน


  • ความสำเร็จ...เกิดจากความยากลำบาก...
  • ไม่มีความสำเร็จใด..ตกมาจากฟากฟ้า...

  • ไม่มีชัยชนะใด...ได้มาโดยไม่ต้องต่อสู้...
  • ไม่มีความสำเร็จใด...ได้มา...โดยไม่ต้องลงแรง

  • ความสำเร็จ...เกิดจาก..การลงมือทำ...
  • ไม่ใช่แรงอธิษฐาน...

  • ความสำเร็จ...มันอยู่ไกล..เกินไปถึง....
  • กับคนซึ่ง...นั่งหงอย...และคอยหา...
  • ความสำเร็จ...จะมาอยู่...แค่ปลายตา...
  • กับคนที่...คิดว่า...ต้องพยายาม...


  • เกิดในที่...ที่ดี...นั้นดีแน่...
  • เกิดในที่...ที่แย่...ก็ดีได้...
  • เกิดที่ดี...แล้วแย่...มีถมไป....
  • เกิดที่ไหน...ก็ดีได้...ถ้าใฝ่ดี...

  • ผลลัพธ์แห่ง..ความสำเร็จ....
  • ยิ่งใหญ่เกินกว่า...ที่ตามองเห็น....

  • คนที่จะประสบความสำเร็จ....
  • ต้องมีเป้าหมายในชีวิต...

  • ผู้ที่ปฎิเสธ...ไม่ทำตามความฝัน....
  • จะไม่มีทางประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้...

  • อดีต...ไม่สำคัญ...ว่าเราเคยเป็นใคร...
  • แต่สิ่งสำคัญ..มันอยู่ที่ว่า...
  • วันนี้...เราจะเป็นใคร...?
  • และวันพรุ่งนี้..เราต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน....

  • คนที่ชอบทำงานง่ายๆๆ...
  • จะเป็นได้แค่ลูกจ๊อกเขา...ตลอดชีวิต...

  • ผลงานล้ำค่า...ที่อุบัติขึ้นในโลกนี้...
  • ล้วนเกิดจากมือ...ของคนที่ชอบทำงานหนัก...

  • คนที่ประสบความสำเร็จ...
  • ไม่ใช่แค่เป็นนักฝัน...
  • แต่เขาเริ่มด้วยการ...ลงมือทำ...

  • เอาแต่พูด...เอาแต่ท่องทฤษฎี..ไม่ลงมือปฏิบัติ...
  • ไม่มีทาง...ประสบความสำเร็จ

  • ความสำเร็จเริ่มต้นเมื่อ...
  • คุณเชื่อว่า...คุณทำได้...

  • จุดอ่อนของคนที่...ไม่ประสบความสำเร็จคือ...
  • การยอมแพ้...

  • คนที่ประสบความสำเร็จ
  • พยายามอีกครั้ง...เสมอ...

  • ความรับผิดชอบ...ทำให้...งานออกมาดี...
  • ความรัก...ทำให้...งานออกมา...สวย...
  • เป้าหมาย..ทำให้...สำเร็จ...โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย...

  • สาเหตุที่ทำให้คุณเห็นว่า...
  • อุปสรรค..เป็นเรื่องน่ากลัว...
  • เพราะ...คุณละสายตา...จากเป้าหมาย...

    วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

    L D ความบกพร่องของการเรียนรู้

    วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

    ความสุข

    ๑. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อเป็นอิสระจากความคาดหวัง
    ๒. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ
    ๓. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อเป็นตัวของตัวเอง
    ๔. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อได้ทำงานที่รัก
    ๕. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อผูกพันกับใครสักคน
    ๖. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความรัก
    ๗. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อรู้จักและให้อภัย
    ๘. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อยอมรับสิ่งต่างๆ ที่มันเป็น
    ๙. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อหลงใหลอะไรสักอย่าง
    ๑๐. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อทำในสิ่งธรรมดาให้คนพิเศษ
    ๑๑. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อจดจ่อและทุ่มเทกับสิ่งที่กำลังทำอยู่โดยไม่สนใจสิ่งอื่น
    ๑๒. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกเชื่อมโยงกับเพื่อนร่วมสังคม
    ๑๓. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อได้ให้อะไรบางอย่างแก่ผู้อื่น
    ๑๔. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อปล่อยวางอดีตและมองไปข้างหน้า
    ๑๕. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อมีคนร่วมทุกข์ร่วมสุข
    ๑๖. ความสุขเกิดขึ้นเมื่ออยู่กับปัจจุบัน
    ๑๗. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง
    ๑๘. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อมีคนข้างๆ ร่วมทางไปด้วย
    ๑๙. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อใช้เวลากับคนที่เรารัก
    ๒๐. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อเราสังเกตเห็นมัน

    วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

    ฝนตก ต้องปิด

    นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กล่าวเตือนให้ประชาชน ระวังอันตรายจากสภาวะฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนัก เพราะเกิดเหตุการฟ้าผ่าเนื่องจากการใช้
    มือถือขณะที่ฝนตก มีเพิ่มมากขึ้นในปี 2551 เมื่อเทียบกับปีก่อน และยังกล่าวอีกว่า หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทย
    มีเหตุการฟ้าผ่าจนเสียชีวิตหลายรายจากการใช้มือถือ แต่ไม่เป็นข่าวตามสื่อต่างๆ เช่น
    กรณีฟ้าผ่าที่ อ.งาว จ.ลำปาง และที่เป็นข่าวที่จ.มุกดาหาร ฟ้าผ่านักท่องเที่ยวชาวไทยและชาว
    ออสเตรเลียเสียชีวิต ขณะเล่นน้ำตกตาดโตน

    โดยส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการฟ้าผ่าเพราะการใช้มือถือนั้น จะมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่ 2 ประการ คือ
    1. ความประมาทที่จะไม่ปิดมือถือขณะที่ฝนตก โดยส่วนใหญ่จะสนใจเพียงแค่ว่า "ไม่ใช้งานก็พอแล้ว"
    แต่นั้นเป็นวิธีคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะต่อให้เราไม่ใช้อย่างไรก็ยังมีโอกาสที่ผู้อื่นโทรเข้ามาได้ หรือ
    เพียงแค่การรับข้อความ SMS,MMS หรือจะ GPRS ก็เพียงพอที่จะทำให้มือถือกลายเป็นสายล่อฟ้าได้แล้ว
    เช่นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ฟ้าผ่าคนงานชาวกัมพูชาเสียชีวิต 3 ราย เพราะหนึ่งในผู้เสียชีวิตกำลังเชค
    ข้อความในมือถือ หรือ ที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ชาวนาเข้าไปหลบฝนในกระท่อม และมีสายเรียก
    เข้ายังไม่ทันกดรับสาย ฟ้าก็ผ่าลงกระท่อมจนทำให้ผู้นั้นเสียชีวิต
    2. ในปี 2549 สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์ได้รายงานผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อังกฤษหรือ
    บริติช เมดิคอล เจอร์นัล (บีเอ็มเจ) ว่า การอยู่ในที่โล่งแจ้งและเปิดมือถือไว้ขณะเกิดพายุฝนก็อาจทำให้เกิด
    อันตรายจากฟ้าผ่าได้เช่นกัน พร้อมยกตัวอย่างกรณีที่หญิงสาวรายหนึ่งถูกฟ้าผ่าขณะใช้มือถือในสวนสาธารณะ
    กลางเมืองจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนที่ประเทศจีน มีรายงานเช่นกันว่ามีผู้ถูกฟ้าผ่าขณะใช้มือถืออยู่บน
    ท้องถนนในช่วงที่ฝนตกฟ้าคะนอง

    เช่นเดียวกับที่รัสเซีย มีรายงานว่า ผู้หญิงคนหนึ่งถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตขณะใช้มือถือในที่โล่งแจ้ง
    เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จึงควร "ปิด" โทรศัพท์มือถือในขณะที่เกิดฝนตกฟ้าร้อง โดยเฉพาะ
    เมื่ออยู่ในพื้นที่โล่งแจ้งหรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น ทุ่งนา ชายหาด ลานกว้าง สนามกีฬา น้ำตก เป็นต้น และ
    หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หรือใต้ต้นไม้สูง เสาไฟฟ้าหรือรั้วกำแพง ที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ จะเป็นการดีนะครับ
    ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
    แหล่งที่มา:  
    http://www.bangkokbiznews.com/2008/11/01/news_307996.php

    วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

    เคยได้ยินตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก

    พ่อเคยท่องให้ฟัง
    เมื่อบุญมา    กาไก่     กลายเป็นหงษ์          เมื่อบุญลง   หงษ์เป็นกา    น่าฉงน
    เมื่อบุญสูง     หมูหมา   กลายเป็นคน          เมื่อบุญหล่น   คนเป็นหมา   น่าอัศจรรย์

    เป็นคำกลอน คนเก่า    สอนเราใว้              อย่าปล่อยใจ     พ่ายแพ้       ความแปรผัน
    โลกมีขึ้น        มีลง      ไม่คงกระพัน           เป็นกฏเกณฑ์    สามัญ       เสมอมา

    ปริญญา ๒ ใบ

     ปริญญาสองใบ...น่าอ่าน

    ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
    คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก  
    เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน  

    ดร.อภิวัฒน์ &nb sp; วัฒนางกูร
     
    มาเรียนที่อเมริกา  
    เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
    ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุด แม้กระทั้งล้างจาน
    ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู  
    ว่าสะอาดจริงมั้ย
     
    กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

    มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
    ต้องให้ดีที่สุด  
    เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
    แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
    แกเสนอแผนที่สอง  
    แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม

    ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย   แกมีบ้าน  
    มีรถ มีลูก มีภรรยา   มีธุรกิจ
    มีชื่อเสียงทุกอย่าง   แกมีทุกอย่าง  
    หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย   วันหนึ่งแกไปพัก
    ที่ปากช่อง   ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป  
    ภรรยาพาเข้าโรงพยาบาล   ตรวจพบมะเร็ง
    พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด
    แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้

    แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล  
    แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน   บันทึกชีวิตแก
    ก่อนจะเสียชีวิต
     
    แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว   แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
    กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก
    ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
    พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ  

    ปริญญาใบที่หนึ่ง  ' ปริญญาวิชาชีพ
    '
    เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม   นอนอุ่น
    พูดง่าย ๆ  ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้   อยากจะนอนบ้านที่เป็นของตัวเอง นี้คือปริญญาวิชาชีพ    

    ปริญญ าใบที่สอง   ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ
    สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง  

    ! ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
    แกบอกว่า ผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
     
    ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ  
    แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก
      เพราะอะไร
    เพราะทำงานจนป่วยตาย
    ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง  
    บ้าน รถ     มอบมันให้กับลูกและภรรยา
    แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง!
    ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
     
    สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
     
    สิ่งที่ว่านี้คือ
    ผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย < /SPAN>เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย
    นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
    ธรรมะเราจะต้องมี! ถ้าเราไม่มีธรรมะ
     
    เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง

    ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
    ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
      !
    อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
     
    แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง
    ดูจิต ดูใจตัวเอง
      ว่าเรา เอ๊ะ มันทุกข์  
    มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
    แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้
      เกินไปหรือเปล่า  
    พยายามลดลงในแต่ละวัน
     
    เพื่อที่ว่าอะไร
     
    เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
    หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
    เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
     
    มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
     
    แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
    คือวิชาธรรมะ
    สำหร! ับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
     
    ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือดร้อนเกินไป
     
    ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข
    อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว
      อยากพักให้ได้พัก  
    อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
    ลูกหลานมาหา ก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
    อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด   ขวาสุด   และมารู้สึกตัวอีกที ก็ล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี   ! เพราะอะไร
    เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา
    เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า
      ว่าอะไรคือสิ่ง สูงค่าที่สุด   บางคนก็ตอบเงิน
    บางคนก็ตอบเพชร
      บางคนก็ตอบทอง !
    บางคนก็ตอบอำนาจ
      บางคนก็ตอบราชบัลลังก์  
    พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่
     
    สิ่ งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต   สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
    คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ

    วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

    ทำแบบมืออาชีพ

    คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง

    โดย วินทร์ เลียววาริณ.
     

    วันแรกที่เข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    ผมพบเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่งเมื่อรุ่นพี่บางคนบอกว่า

    การอดนอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนในคณะนี้

    วันสุดท้ายในคณะนี้ ผมพบว่าตั้งแต่เรียนมาห้าปี ไม่เคยต้องอดนอนเลย
     
    ยกเว้นเมื่อต้องทำงานกลุ่ม
    ทั้งนี้มิใช่เพราะผมทำงานเร็วกว่าคนอื่น
     
    ...
    แต่เพราะผมไม่เชื่อในทัศนคตินั้น  
    จึงพยายามพิสูจน์ว่ามันไม่จริง
    และพบว่าการวางแผนที่ดีแก้ปัญหาได้ทั้งหมด
    แม้แต่การสร้างสรรค์งานศิลปะ..ที่น่าขันก็คือ น้อยคนที่อดนอนได้คะแนนดี

    ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมานานร่วมสามสิบปี....

    ห้าปีในนั้นผมทำงานในต่างประเทศ
    ..
    เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมพบเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง
    นั่นคือหลายคนมองการก้าวเท้าออกจากสำนักงานตรงเวลา
     
    ' เป็นเรื่องประหลาดที่สุดในโลก '
    ผมรู้ความจริงภายหลังว่า ...
    คนจำนวนมากไม่ยอมออกจากสำนักงานตรงเวลา

    เพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่า

     ตนเองขยันขันแข็ง ยิ่งอยู่ดึก ยิ่งเป็นพนักงานตัวอย่าง
    เสียสละเพื่อองค์กร
      น่ายกย่องชมเชย
    บ่อยครั้งมีผลถึงการได้รับโบนัสตอนท้ายปี..

    เนื่องจากเจ้านายมักเห็นหน้าเห็นตาใครคนนั้น หลังเวลาเลิกงานแล้วเสมอ  
    หากไม่เคยทำงานในต่างประเทศมาก่อน ผมอาจเข้าร่วมวงไพบูลย์
     
     'มาสายกลับดึก '   ด้วย
    แต่หลายปีในชีวิตการทำงานในประเทศที่มีประสิทธิภาพในการจัดการที่สุด..ทำให้เห็นค่าเวลาทุกนาทีในชีวิต
    ผมกลับมองว่า
    คนที่อยู่ดึกเป็นประจำคือพวกไร้ประสิทธิภาพ
    ไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลา ..จึงต้องอยู่ดึก

    ยิ่งทำงานมากชั่วโมงยิ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่มีการวางแผน ไม่มองภาพรวม



    ลองคิดดู????


    การอยู่ดึกเพื่อทำงานพิเศษหนึ่งคืนหมายถึง
    ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
    เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น ค่าทะนุบำรุงสูงขึ้น

    ผลกระทบต่อคนทำงานคือพักผ่อนน้อยกว่าที่ควรเป็น

    ยิ่งอยู่ดึก ประสิทธิภาพของงานในวันถัดไปยิ่งตกต่ำลง


    .
    มือกระบี่ชั้นหนึ่งในแผ่นดินมองท่วงทีของศัตรูอย่างระวัง ตวัดกระบี่ในมือเพียงฉับเดียว
    ก็เข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม
    มือกระบี่ชั้นรองต้องประกระบี่ดังโคร้งเคร้งนานนับชั่วโมง ราวกับอยากบอกโลกว่า ..ข้าก็ใช้กระบี่นะโว้ย

    โลกรับรู้ แต่คมกระบี่ก็บิ่น ต้องเสียเวลาลับกระบี่อีกหลายวัน

    .
    งานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องตรงเวลาด้วย
    งานดีไม่มีทางเกิดขึ้นตามยถากรรม ..หรืออารมณ์ขึ้นลง
    ไปจนถึงความหนาแน่นรัดกุมของกฎเกณฑ์
    ' ตอกบัตร'
    ปริมาณเวลาในการทำงานชิ้นหนึ่ง

    ไม่ได้เป็นสัดส่วนกับคุณภาพของผลงานเสมอไป
    บ่อยครั้งเป็นปฏิภาคกัน ...หลายครั้งงานที่ให้เวลาน้อย
     
    กลับออกมาดีกว่างานที่ให้เวลามาก

    '
    คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง

    ทำ งานเสร็จแล้วก็เลิก! ไม่ต้องรอเทวดาบนสวรรค์วิมานมารับรู้
    '
    มีหลายมุมมอง ให้เลือกพิจารณา

    อย่าเชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง