วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผู้นำ

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยง
ไว้เป็นเพื่อนสองตัว  คือ ลิงและลา 
วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอา
เชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง  เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัว
เดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป
 
ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อย ๆ    คลายปมเชือกออกจากคอของมัน 

อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย 

 
หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น    ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว 
ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว  อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้าน
มาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลา  ได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉย ๆ สักครู่หนึ่ง 
หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง 
ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

 
ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที
หันมองลิงและลา  เพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม
เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ



 
ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง     ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้
แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย 

เธอทั้งหลาย... 
     
เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย   
ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำของ
หญิงชาวบ้าน  ที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้    เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสพการณ์ส่วนตัว    เธอมองเห็น
ข้าวของเสียหาย  และมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ    แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก 
และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย  เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้
และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือลิง    ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจ ร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและ
ฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน     
 
เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ 
ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา  แต่ลารับเคราะห์"
ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม 
ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง
  พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง 
นายที่ดีไม่ควรปล่อย ให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้  ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย  
นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลาอีกเล็กน้อย เพื่อค้นหาความจริง 
เพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  
ถ้าลิงสงบได้ องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น